When I was a young man, I wanted to change the world
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้ไปเจอเพื่อนชมรมดนตรีวิศวะ IMC ที่ไม่ได้เจอมานาน มีทั้งความคิดถึง และความเปลี่ยนแปลงที่คนเหล่านี้ได้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่อีกขั้น และหนึ่งในบทสนทนาที่ได้คุยวันนั้นกับภูมิ เกี่ยวกับภาพ cover facebook ใหม่ที่เขาเพิ่งลงไปเมื่อไม่นาน
“When I was a young man, I wanted to change the world.
I found it was difficult to change the world, so I tried to change my nation. When I found I couldn’t change the nation. I began to focus on my town. I couldn’t change the town and as an older man, I tried to change my family
I found it was difficult to change the world, so I tried to change my nation. When I found I couldn’t change the nation. I began to focus on my town. I couldn’t change the town and as an older man, I tried to change my family
Now, as an old man, I realize the only thing I can change is myself, and suddenly I vealize that if long ago I had changed myself, I could have made an impact on my family. My family and I could have made an impact on our town. Their impact could have changed the nation and I could indeed have changed the world.”
- The Internet, circa mid 2000's
ความประทับใจแรก
บทกลอนข้างต้นทำให้กฤษได้กลับมานึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็กประถมที่มีความฝันที่จะเปลี่ยนโลก อยากจะเห็นเมืองที่เต็มไปด้วยต้นไม้ เห็นโรงเรียนที่อณุญาตให้เด็กที่ความความชอบแตกต่างกัน เลือกเรียนที่ตัวเองอยากเรียนได้ (เพื่อนผมบางส่วนชอบวาดภาพ บางส่วนชอบวิ่งเล่น และผมเป็นส่วนน้อยที่ชอบไปห้องแลปวิทยาศาสตร์)
แต่พอเราโตขึ้นและเรียนรู้ว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเอง และสิ่งที่ชอบถูกให้คุณค่าทางการตลาดแตกต่างกัน เราก็เลือกเส้นทางที่เชื่อว่าดีที่สุดแล้ว
การโตขึ้น อาจหมายถึงการทิ้งความฝันของตัวเองไว้ข้างหลังแล้วปลอบใจว่า เมื่อเรามีเงินและเวลา เราจะกกลับมาหาเธอไหมนะ
ถึงตัวเองตอนนี้
พลังในความฝันเราอาจจะลดลงเมื่อเทียบกับตอนที่เป็นเด็ก แต่สิ่งที่เราได้มาคือความจริง และแนวทางในการทำสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นจริง ยอมรับว่าคนๆหนึ่งจะเปลี่ยนโลกได้มันยากไป เริ่มจากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นอีกนึด ดูแลและให้ความสำคัญกับคนรอบตัวให้มากขึ้น เชื่อมันในศักยภาพในการเติบโตของเขา
หลายๆครั้งที่เห็นเพื่อนโตเป็นคนที่ดีขึ้น เรียนรู้จากประสบการณ์และความผิดพลาด ผมเหมือนเห็นก้อนเหล็กที่ถูกทุบจนแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญชีวิตต่อไปได้
แต่ใดๆ สิ่งที่เราคุมได้ก็มีแค่ตัวเอง แต่อย่าทำให้แค่การเปลี่ยนตัวเองเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะก็มีหลายคน หลายศาสดา ที่เขาแค่เปลี่ยนตัวเองก็เป็กลายเป็นผู้ที่เปลี่ยนโลกไปตลอดการเช่นกัน แม่อาจจะใช้เวลาหน่อย
Pay it forward
หลังจากวิเคราะการเปลี่ยนตัวเองเพื่อเปลี่ยนโลกแล้วทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่อง Pay it forward (2000) ที่ว่าด้วยว่า
ให้ตอบแทนความช่วยเหลือที่ได้รับ โดยการช่วยเหลือผู้อื่นอีกสามคน

ก็ดูเป็นแนวคิดที่ดีมากๆเลย ด้วยอัตราการช่วยเหลือที่เป็นแบบ exponential เพียงไม่นานทั้งโลกก็จะเต็มไปด้วย หนีความช่วยเหลือ ที่ยังไม่ชดใช้ แต่นั้นแหละทุกคนก็จะช่วยเหลือกันมากขึ้น โลกก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกัน
เทคนิคนี้ยังถูกใช้กับ application clubhouse ที่ให้ชวนเพื่อนๆมาเล่นเช่นกัน
กล่าวถึง Poomrokc หน่อย
เจอกันครั้งแรก
เราเจอกันครั้งแรกที่ค่าย โอลิมปิกคอมพิวเตอร์ สสวท ที่แถวเอกมัย เราเป็น roomate กันแบบงงๆ รู้สึกว่าไอ้หนุ่มคนนี้เป็นคนคูลๆมากๆ มีความเป็นตัวของตัวเอง(independence) แต่ก็ยังมีความห่วงใยผู้อื่นมากๆ แต่จะเป็นความห่วงใยแบบซึนเดเระนิดหน่อย 555 คือเขาจะช่วยนะ แต่เขาจะแอบปากแข็งให้ไปหาต่อเอง

ภูมิ บนซ้าย, กฤษ ล่างขวา
เราทั้งคู่ผ่านเข้าค่ายโอลิมปิกค่ายที่ 2 มาด้วยกัน แต่ด้วยความชิวที่มากขึ้น แปลผันตรงกับความยากของโจทย์ที่มากขึ้น (ข้อสอบยากจนไม่เอาอะไรแล้วนั้นเอง) เราก็ได้ออกไปเล่นดนตรีด้วยกันบ้าง ภูมิตีกลอง ผมเล่นกีต้า ทำให้ความประทับใจของผมกับภูมิเพิ่มขึ้นไปอีก
ไอ้คนนี้ มัน role model แบบพพระเอกในการ์ตูนเท่ๆเลยหวะ
เจอกันอีกครั้งที่มหาลัย
เราทั้งคู่ได้โควตาเรียนต่อที่ ฬ จาก สสวท (โควตาเด็กเอ๋อ) สิ่งแรกที่เราอัพเดตชีวิตกันคือ
กูเลิกกับแฟนแล้วนะ
เป็นเรื่องน่าขันนิดหน่อยเพราะตอนนั้นผมก็เลิกกับแฟนเหมือนกัน
ด้วยอะไรหลายๆอย่าง เราได้อยู่กลุ่มเดียวกัน เป็นเหมือนกลุ่มเพื่อนสนิดช่วยกันเรียน อยู่ชมรมดนตรีเหมือนกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน ไปเที่ยวกัน ไปกินเหล้าเบียร์ฉลองกัน


แม้จะอยู่ด้วยกันมาหลายปี ก็ยังมีหลายๆด้านที่ผมยังไม่เข้าใจเข้าสักเท่าไหร่ เหมือนเป็นคนที่ลึกๆก็เข้าใจ และอีกด้านก็ไม่เข้าใจเขาเลย ถ้าให้เปรียบเปรยก็คงเป็นเหมือน yin-yang แหละ
yin-yang เหมือนเหมือนขาวกับดำ ที่อยู่ด้วยกัน แต่แยกกันอยู่ มีความเหมือนกันอยู่ลึกๆ แต่มันก็ลึกมากจนยากที่จะอยู่อย่างสบายใจด้วย ถึงแม้จะไม่ได้สบายใจนัก แต่ก็มีความขอบคุณมากๆเลยที่เราได้รู้จักกัน และได้แลกเปลี่ยนมุมมองหลายๆอย่างกัน (แม้ส่วนมากจะไม่ค่อยถูกใจผม แต่คำแนะนำที่ไม่ค่อยถูกใจมันจะดีต่อตัวเสมอ)
บอกลา
ภูมิน่าจะได้ย้ายงานไปทำงานที่ google ต่างประเทศเร็วๆนี้ ถือเป็นเรื่องน่ายินดีมากที่เพื่อนสุดเก่งสุดเท่คนนี้ จะได้ออกเดินทางมีชีวิตที่ตื่นเต้นรอเขาอยู่
แต่อีกมุมนึงมันก็ใจหายที่เราอาจจะเจอกันยากขึ้นมากๆ แถมเราไม่ใช่คนที่จะติดต่อกันบ่อยๆด้วยสิ แทบจะ 0 ครั้งเลยก็ว่าได้ ถ้ามึงไปแล้วเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกยาวเลย เหมือนเส้นขนานสองเส้นที่กำลังแยกออกจากกันไปอีก หากมันจะวกกลับมา ผมก็อยากรอฟังนะว่าชีวิตของมึงเปลี่ยนไปมากแค่ไหน มึงได้เรียนรู้อะไร และมึงยังสบายดีไหม เอาจริงก็เชื่อว่าแกเป็นคนเก่งมากๆคงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องพวกนี้หรอก แต่ก็อยากอวยพรให้โชคดีในการใช้ชีวิตนะ
ขอบคุณที่เป็นอีกด้านของผมตลอดมา
ด้วยความปิติ กฤษ
กลับหน้าแรก